วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

3 กรรมวิธีง่ายๆ ช่วยเหลือให้ Facebook ของคุณเป็นเฉพาะบุคคลและปึกแผ่น

หลายคนคงจักรู้อยู่แล้วว่า  มีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ให้พูดแพร่ข้อมูลต่างๆ ได้ในหลายระดับ ทั้งที่เป็นสาธารณะ, ให้เห็นเฉพาะเพื่อน, เห็นเฉพาะบางกลุ่มบางคน หรือไม่ว่าเอาไว้เห็นเองคนเดียว แต่ก็เชื่อว่าหลายคนไม่รู้ว่ามันจักต้องไปตั้งค่ากันตรงไหน หรือไม่ก็ว่าปัจจุบันตัวเองตั้งค่าเอาไว้แบบไหน?
Facebook จึงส่งน้องไดโนเสาร์สีฟ้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ โดยสร้างทางลัดช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับตั้งต่าความเป็นส่วนตัวของตนเองได้ตามที่ต้องการได้ง่ายขึ้น เพราะให้เข้าไปที่หน้าบัญชี Facebook ของคุณ คลิ๊กที่มุมบนขวาตรงรูปกุญแจ ก็จักมีเมนูทางลัดให้เโจษก
ขั้นตอนใน Privacy Checkup นี้จักแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนด้วยกัน
1. ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในการโพสต์ของคุณ
เพราะว่าปกติค่ามาตรฐานจะถูกตั้งเอาไว้ว่าให้เห็นเฉพาะเพื่อนเท่านั้น ซึ่งถือว่าปลอดภัยไร้ดราม่าได้ในระดับหนึ่ง (นอกจากเวลาถ้าโพสต์อะไรเสียๆ หายๆ แล้วมีเพื่อนสนิทคิดไม่ซื้อ capture หน้าจอไปโพสต์ที่อื่นก็ช่วยไม่ได้) ถ้าคุณเปิดเปิดเผยมาก็ทำได้เฟุ้งเฟื่องกเป็นสาธารณะได้แต่ก็ไม่แนะนำ เพราะนั้นคือใครผู้ใดบนผืนโลกนี้รอบรู้เห็น Timeline ของคุณเพราะที่ไม่ต้องเป็นเพื่อน เหรอไม่ต้องมีบัญชี Facebook ก็สามารถเข้ามาดูได้หมด

2. ตั้งค่าการเข้าถึงจากแอพต่างๆ
ต้องยอมรับว่าตอนนี้มีแอพทั้งในเว็บราวเซอร์และมือถือ ร้องขอการเข้าถึงบัญชี Facebook ผู้ใช้ ยิ่งคุณโหลดแอพมาใช้โข (โดยเฉพาะพวกเกม) ก็จะมีรายการแอพที่อยู่ในลิสต์ของ My apps คุณเป็นจำนวนมาก แนะนำว่าแอพไหนไม่ได้ใช้แล้ว ก็ให้ทำการลบทิ้ง ไม่ใช่หรือถ้าดูแล้วแอพไหนจะเข้ามาโพสต์ข้อความใน Timeline สร้างความรำคาญให้กับเพื่อนเรา ก็อาจไปปรับเปลี่ยนความเป็นสาธารณะได้เช่นกัน

3. ตั้งค่าการเปิดแสดงตัวข้อมูลส่วนตัว
บางคนเปิดหมดสิ้นทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่วันเกิด, ที่อยู่, บ้านเกิด, ที่ทำงาน, สถานศึกษา ใช่ไหมแม้กระทั้งเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้หากเปิดเผยมากเกินไปอาจจะตกเป็นเป้าของผู้ที่ไม่ประสงค์ดีที่ต้องการเข้าถึงตัวเรา ใช่ไหมนำข้อมูลส่วนตัวของเราไปแอบอ้างได้ ถึงแม้ว่า Facebook เองจักอยากให้เรากรอกทุกสิ่งอย่างในเรื่องราวชีวิตของเราลงไป แต่ก็ไม่ได้ต้องการให้เราเล่าแพร่มันทั้งหมดให้ชาวโลกรับรู้ ดังนั้นมาปรับตั้งให้เหมาะสมก็จักเป็นการดีที่สุด
พ่างเท่านี้การใช้งาน Facebook ของคุณก็จะมีความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้นแล้ว นอกจากนี้ถ้าอยากได้ปรับค่าความเป็นส่วนตัวให้มากกว่านี้ก็อาจเข้าไปปรับเพิ่มได้อีกด้วย

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เราจะสามารถรังสรรค์คอมพิวเตอร์ที่มีจิตสำนึกได้จริงๆ ในเบื้องหน้าหรือไม่ ???

[บทความพิเศษ] เราจักทำได้สร้างคอมพิวเตอร์ที่มีจิตสำนึกได้จริงๆ ในอนาคตหรือไม่ไม่ ???
เชื่อว่าเราๆ ท่านๆ คงจักได้เห็นหุ่นยนต์ที่มีความคิดเป็นของตัวเองกันมาอย่างมากมายจากใน จอเงินครับ ไม่ว่าจักเป็น Skynet จาก Terminator หรือไม่ก็จักป๊าเดปป์จาก Transcendence ฯลฯ อีกมากมาย ซึ่งทำให้ใครหลายๆ คนอดคิดไม่ได้ครับว่าในอนาคตนั้นเราจักมีคอมพิวเตอร์ที่มีความรู้สึกนึกคิด เป็นของตัวเองเหรอไม่ วันนี้เราจะมาไขคำตอบกันครับว่าเรื่องจากภาพยนตร์ Sci-Fi จักกลายมาเป็นความครันได้อย่างไร
ก่อนที่เราจักไปเรียนรู้กันว่าคอมพิวเตอร์นั้นเป็นได้ที่จะมีความรู้สึกนึก คิดได้เหรอไม่นั้น สิ่งแรกที่เราต้องทำความรู้จักก่อนก็คือปัญญาประดิษฐ์หรือ Artificial Intelligence ไม่ใช่หรือเรียกสั้นๆ ว่า A.I. ครับ A.I. นั้นคือการพัฒนาโปรแกรมให้ระบบคอมพิวเตอร์มีพฤติกรรมให้เหมือนกับมนุษย์มาก ที่สุดเท่าที่จะทำได้
วิธีการที่จะทำให้คอมพิวเตอร์นั้นมีพฤติกรรมเหมือนกับมนุษย์นั้นเราจะจักทำ การเพิ่มความเก่งในการเรียนรู้ด้วยกันความศักยทางประสาทสัมผัสให้กับเครื่อง คอมพิวเตอร์ก่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้นั้นจะเลียนแบบมาจากรูปแบบการเรียนรูปพร้อมกับการตกลงใจของ มนุษย์ครับ A.I. นั้นมีหลายสาขาครับอันประกอบไปด้วย
  • Expert-System หรือว่าระบบผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นระบบให้คำปรึกษาในการจัดการปัญหา เพราะว่าอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญของมนุษย์ที่ได้ใส่เอาไว้ในโปรแกรม
  • Neural Network ไม่ใช่หรือระบบจำลองคอมพิวเตอร์ให้ทำเป็นทำงานเหมือนกับสมองของมนุษย์ได้(หรือไม่อย่างน้อยก็จำลองให้เหมือนมากที่สุด)
  • Genetic Algorithms ไม่ก็ปัญญาประดิษฐ์ที่เอาไว้ใช้ด้วยว่าการสร้างทางเระบือกจำนวนมาก รวมไปถึงปลงใจเร่ำลือกทางเระบือกที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้เหตุด้วยปัญหานั้นๆ
  • Natural Language Processing ไม่ก็การประมวลภาษาธรรมชาติ เป็นการโปรแกรมเพื่อให้คอมพิวเตอร์เป็นได้ที่จักเข้าใจกับประมวลผลภาษา ธรรมชาติของมนุษย์ เช่นคำพูดเหรอภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร ฯลฯ แล้วคอมพิวเตอร์ศักยที่จักทำการโต้ตอบได้อย่างเหมาะสมกับภาษานั้นๆ
  • Learning System หรือว่าระบบการเรียนรู้เป็นระบบที่สร้างขึ้นเพื่อให้คอมพิวเตอร์รอบรู้ที่จักทำ การเรียนรู้ได้จากประสบการณ์(ตัวอย่างเช่นคอมพิวเตอร์อาจเรียนรู้ได้ว่า ขับฝ่าไฟแดงเป็นเรื่องผิด) ภายหลังนั้นคอมพิวเตอร์อาจจะที่จักโต้ตอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่าง เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม(ตามสิ่งที่เรียนรู้มา)
  • Vision System ไม่ก็ระบบการมองเห็นเป็นระบบที่คอมพิวเตอร์เก่งที่จะทำการบันทึกสิ่งที่มอง เห็น แล้วเก็บไว้ในหน่วยความจำในลักษณะของรูปภาพ ตัวอย่างเช่นระบบวิเคราะห์รอยนิ้วมือ(เทียบกับมนุษย์ก็คือความทรงจำในลักษณะ ที่เป็นรูปภาพ)
  • Robotic หรือหุ่นยนต์เป็นการพัฒนาเครื่องจักรกลใช่ไหมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้อาจทำ การเคลื่อนไหวได้เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ โดยการเคลื่อนไหวนั้นจักมีความแม่นยำเที่ยงตรงกว่ามนุษย์หลายเท่า(เพราะ หุ่นยนต์ไม่มีกล้ามเนื้อให้เกิดความเหนื่อยล้า)
การที่วิชาทางด้านปัญญาประดิษฐ์แยกอันดับของปัญญาประดิษฐ์ไว้หลายๆ หมวด ก็เนื่องมากจากการทำงานพร้อมทั้งหลักของการเขียนโปรแกรมสำหรับปัญญาประดิษฐ์แต่ละ อย่างจักไม่เหมือนกันครับ พร้อมทั้งจากข้อมูลข้างต้นเราจักเห็นได้ว่าปัญญาประดิษฐ์นั้นถูกจำลองมาจากพฤติกรรม ของมนุษย์แทบทั้งสิน
ปัญหาที่ตามมาก็คือปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้จะสามารถสู้กับพฤติกรรมพร้อมทั้งความ รู้สึกนึกคิดของมนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ได้หรือว่าไม่ ให้ลองดูจากตารางดังถัดจากนี้ครับ
จากตารางท่านจักเห็นได้ครับว่าปัญญาประดิษฐ์นั้นไม่ได้มีความทำได้เหนือ มนุษย์ไปหมดทุกอย่าง สิ่งหนึ่งที่เป็นทั้งผลดีพร้อมทั้งผลร้ายในเวลาเดียวกันก็คือจิตใต้สำนึกเรื่องของ ความดีงามนั้นปัญญาประดิษฐ์ไม่มีเหมือนมนุษย์เราครับ ตัวอย่างเช่นเรื่องของการลักขโมย มนุษย์เราขณะต้องการจะได้ของอะไรสักอย่างที่อยู่ตรงหน้าแต่ว่าของชิ้นนั้นไม่ ใช่ของเรา ด้วยประสบการณ์กับคำสั่งสอนรวมไปถึงความรู้ทางด้านกฎหมาย อาจจะทำให้เราใตร่ตรองพร้อมกับตกลงใจไม่ทำการลักขโมยนั้น
ในทางกลับกันถ้าเป็นปัญญาประดิษฐ์แล้ว การตัดสินใจเลือเลื่องกว่าจักขโมยหรือไม่ขโมยนั้นมีปัจจัยหลายอย่างซึ่งขึ้นอยู่กับ ว่าปัญญาประดิษฐ์นั้นจะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการลักขโมยในครั้งนั้นมาก แค่ไหน พร้อมด้วยคอมพิวเตอร์ก็จักเลือกระฉ่อนกคำตอบที่ดีที่สุดที่เก่งทำการประมวลผลออกมาได้ ซึ่งนั่นอาจจะหมายถึงการขโมยของชิ้นนั้น เป็นต้นครับ(ก็เพราะว่ายังไม่มีกฎหมายที่ใดบนโลกนี้ที่ระบุว่าหุ่นยนต์ลักขโมยแล้ว มีความผิดเป็นต้น)
คราวเรามองว่าหน่วยประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเหมือนกับสมองที่ ใช้ในการตกลงใจนั้น สิ่งนี้ก็ไม่ผิดมากนักครับ เพราะตั้งแต่เรามีเครื่องคอมพิวเตอร์มานั้น คอมพิวเตอร์ก็ได้เข้ามาทำงานทางด้านการตัดสินใจหลายๆ อย่างแทนมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับงานที่มีความละเอียดไม่ว่าจักเป็นงานทางด้านตัวเลข ไม่ก็งานทางด้านการประมวลผลข้อมูล
สิ่งหนึ่งที่คอมพิวเตอร์มีดีกว่ามนุษย์เราก็คือคอมพิวเตอร์ไม่รู้จักเหนื่อย ล้าครับ ซึ่งนั่นทำให้คอมพิวเตอร์อาจที่จักทำการประมวลผลได้ตลอดเวลาเลยที เดียว(ถ้าเครื่องไม่ร้อนจนไหม้ไปซะก่อน) แต่มนุษย์เรานั้นมีความเหนื่อยล้าจากปัจจัยหลายๆ อย่างเกิดขึ้นดังนั้นเราต้องมีการพักผ่อนครับ
คุณอาจจักเปรยว่าถ้าเรากลัวปัญญาประดิษฐ์ทำผิดก็ให้โปรแกรมไปด้วยว่าสิ่ง ไหนที่ปัญญาประดิษฐ์ทำแล้วจักผิด ซึ่งเรื่องนี้นั้นก็ได้มีการถกเถียงมากมายกันอย่างกว้างขวางครับ ก็เพราะว่าแม้กระทั่งมนุษย์เองแล้วนั้น
การกระทำในเรื่องเดียวกันบางคนอาจจะคิดว่าสิ่งนี้ผิด ส่วนอีกคนอาจจะคิดว่าสิ่งนี้ไม่ผิดก็เป็นได้ สมมติว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบดูจอเงิน Sci-Fi บ่อยๆ แล้วหล่ะก็ คุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนครับว่าเพราะว่าส่วนมากแล้วหุ่นยนต์ที่มีปัญญาประดิษฐ์ อยู่ด้วยนั้นจะปฏิบัติตามสิ่งที่จักทำให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด(หรือว่าสิ่ง ที่ดีที่สุด) แม้แต่นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เองก็มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไปในเรื่อง นี้ครับ มีทั้งเสียงที่สนับสนุนด้วยกันเสียงที่ไม่สนับสนุนครับ
นักวิทยาศาสตร์อย่าง Stephen Hawking นั้นเคยพูดว่าการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบันนั้นยังไม่จำเป็นมากนัก ที่เราจักต้องใส่ใจในเรื่องของความกลัวเหมือนอย่างหนัง Sci-Fi แต่ในอนาคตถ้าเทคโนโลยีรุดหน้าไปมากขึ้นจนกระทั่งปัญญาประดิษฐ์ได้รับการ พัฒนาจนมีความศักยที่เท่าเทียมกับมนุษย์เราทั้งทางด้านกายภาพพร้อมกับทางด้าน ความคิด ขณะนั้นปัญญาประดิษฐ์จะอาจจะที่ทำการพัฒนาความรู้ความอาจของตัวเองต่อ ไปเหมือนมนุษย์ได้
ซึ่งจักทำให้การควบดูแลปัญญาประดิษฐ์ที่อาจจะอยู่ในรูปแบบของหุ่นยนต์ไม่ใช่หรือ คอมพิวเตอร์นั้นยากขึ้น ท้ายที่สุดแล้วด้วยความเก่งในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่มีมากกว่า มนุษย์หลายเท่านักก็จักเอาชนะวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ค่อยๆ พัฒนาไปอย่างช้าๆ ได้ครับ
สิ่งที่เราๆ ท่านๆ เคยเห็นในหนัง Sci-Fi นั้นอาจจักเป็นครันขึ้นมาในอนาคตครับ ดังที่ว่าวงการของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์นั้นก้าวไปเร็วมาก ในปัจจุบันเรารอบรู้ที่จักทำให้คอมพิวเตอร์เชี่ยวชาญที่จะพูดคุยติดต่อสื่อสาร กับเราได้อย่างรู้เรื่อง ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัวที่ไหน
คุณลองมองไปที่สมาร์ทโฟนของคุณเองก็ได้ครับ ถ้าเป็น iOS ก็จักมี Siri ที่อาจคุยกับเราได้ ส่วนระบบ Android ก็มี Google Now เพราะด้วย Windows Phone เองนั้นก็มี Cortana สิ่งต่างๆ เหล่านี้เหมือนอาจจะพึ่งเริ่มทำต้นมาได้ไม่นานนักแต่ความเร็วในการพัฒนาของ ระบบต่างๆ เหล่านี้นั้นไปได้รวดเร็วกว่าที่เราๆ ท่านๆ คิดไว้มาก(ดูง่ายๆ ครับ iPhone พึ่งมีรุ่นที่ 6 ไปไม่นาน ก็ยังเก่งขนาดนี้) นี่ยังไม่รวมไปถึงเทคโนโลยีของหุ่นยนต์ที่นับวันจักมีการจำลองมาจากการ เคลื่อนไหวจริงๆๆ เข้าไปจนหุ่นยนต์โหมโรงเคลื่อนไหวได้เหมือนกับมนุษย์เราแล้ว(แต่ดีกว่าตรงที่ ไม่รู้จักเหนื่อย)
แม้จะพูดไปแล้วขณะนี้มนุษย์ชาติก็เหมือนกับกำลังก้าวอยู่ในระดับทารก เพื่อที่จะสร้างระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความรู้สึกนึกคิดได้เองครับ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดก็คือเรื่องของ Google ที่ครั้งคาดว่า 2 ปีก่อนนี้ทาง Google ได้มีการพยายามทำโปรแกรมที่จักจัดเรียงรูปแบบของข้อมูลที่เหมือนๆ กัน
แต่ทว่าโปรแกรมนั้นต้องดูไฟล์วีดีโอบน Youtube เป็นล้านๆ ไฟล์ถึงจะศักยระบุแมวได้ถูกต้องแค่ 70% ในขณะที่มนุษย์เรานั้นสมรรถที่จักจำแนกได้แค่การดูทะลวงประสบการณ์ไม่กี้ ครั้งเท่านั้น ดังนั้นคงต้องใช้เวลาอีกนานครับกว่าที่คอมพิวเตอร์ที่มีปัญญาประดิษฐ์นั้นจัก ทำได้มีจิตใต้สำนึกเองได้
หมายเหตุ - มีนักสังคมศาสตร์บางคนเจรจาว่าโดยปกตินั้นมนุษย์เองก็มีความสลับซับซ้อนใน พฤติกรรมอยู่มากมาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่เราจะจำรองระบบที่มีแต่ถูกหรือผิดให้ทำได้ที่จะ ปลงใจไม่ใช่หรือมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนมนุษย์ได้ครับ แต่ว่าในอนาคตนั้นอะไรก็เป็นไปได้ครับ
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

10 อันดับเจ้าแห่ง Instagram (ไทยหล่น)

ไทยเสียแชมป์สถานที่ยอดนิยมใน  ปีนี้ให้กับดิสนีย์แลนด์
Instagram ประกาศอันดับสถานที่ถ่ายภาพพร้อมด้วยแชร์ยอดนิยมประจำปี 2014 โดยใช้ข้อมูลจาก Geotagged ซึ่งปีที่ลอดมามีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือฐานข้อมูลสถานที่เปลี่ยนจาก Foursquare มาเป็นของ Facebook Places
เพราะว่าอันดับในปีนี้สถานที่ในประเทศไทยซึ่งครองอันดับ 1 มาสองปีซ้อน (สนามบินสุวรรณภูมิ ปี 2012 กับสยามพารากอน ปี 2013 ได้เสียแชมป์ให้กับดิสนีย์แลนด์ แคลิฟอร์เนีย ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 3 มาสองปีก่อนหน้านี้
ระเบียน 10 สถานที่ยอดนิยมของโลกใน Instagram ปี 2014 เป็นดังนี้
  1. ดิสนีย์แลนด์ แคลิฟอร์เนีย
  2. Dodger Stadium ลอสแองเจลิส
  3. ไทม์สแควร์ นิวยอร์ก
  4. สยามพารากอน กรุงเทพฯ
  5. สวนสนุก Gorky Park มอสโคว์
  6. พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ปารีส
  7. จัตุรัสแดง มอสโคว์
  8. เมดิสันสแควร์การ์เดน นิวยอร์ก
  9. สนามแยงกี้ สเตเดียม นิวยอร์ก
  10. ดูไบมอลล์ ดูไบ
ถ้าจัดอันดับกันเองในไทยปีนี้ ไม่รับฝากร้าน อาจจะได้รับความนิยมมากที่สุดก็เป็นได้

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ผลการค้นหาชี้ Tumblr โตแจ้นสุด ส่วน Facebook ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว

Tumblr เป็นแอปพลิเคชั่นที่ดังแบบเงียบกริบในประเทศไทย คนส่วนมากอาจจะไม่ค่อยรู้จัก แต่ในต่างประเทศมันเป็นโซเชียลมีเดียที่คนใช้งานค่อนข้างอื้อ จนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมา Instagram เป็นโซเชียลแพลทฟอร์มที่เรียกได้ว่ามีอัตราการเจริญเติบโตเร็วที่สุด แต่ในครั้งนี้ต้องหลีกทางให้กับ Tumblr พร้อมทั้ง Pinterest ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นแชร์รูปรูปภาพที่มี active user มากที่สุด
ในช่วง 6 เดือนที่สร้างผ่านมา Tumblr มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 120% ตามการรายงานของ Global Web Index ในขณะที่  มีการเติบโตพ่างแค่ 2% เท่านั้น
ส่วน Pinterest ตามมาเป็นที่ 2 ด้วยอัตราการเจริญเติบโต 111% เพราะผู้ใช้งานเหล่านี้มักจะเข้ามาใช้งานเป็นประจำ พร้อมกับ Instagram อดีตแชมป์ตราบต้นปี ตกลงมาเป็นที่ 3
เหตุด้วยแพลทฟอร์ม 8 อันดับแรกในผลการสำรวจนี้ Facebook อยู่ในอันดับสุดท้าย ตามหลัง LinkedIn, Twitter, YouTube พร้อมด้วยแม้แต่ Google+
ผลการสำรวจนี้เป็นพ่างการแสดงอัตราการเจริญเติบโต ไม่ใช่จำนวนผู้ใช้งานหรือความนิยมในแพลทฟอร์มต่างๆ เพราะว่าในแง่ของจำนวนผู้ใช้งานแล้ว Tumblr ก็ยังเป็นอันดับที่ 8 ในขณะที่ Facebook ยังคงเป็นที่หนึ่งของโลก ณ เวลานี้ ถึงแม้จะดูเหมือนใกล้จักถึงจุดพีคสุดพร้อมทั้งจะค่อยๆ ตกลงในไม่ช้านี้
ตามข้อมูลระบุว่าผู้ใช้งาน Tumblr มีอายุเฉลี่ยต่ำกว่าผู้ใช้งาน Facebook ที่มีแนวโน้มว่าจักเป็นคนที่มีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะว่าโมบายล์แอปพลิเคชั่น Snapchat มีอัตราการเจริญเติบโตมากที่สุด ด้วยตัวเลข 56% ในช่วง 6 เดือนที่ข้ามมา Facebook Messenger ตามมาเป็นที่ 2 ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะทุกคนถูกบังคับให้โหลด Instagram เป็นอันดับที่ 3 ตามมาด้วย Line, Pinterest, Kakao Talk พร้อมทั้ง Vine
ในรายงานของ GWI ยังระบุอีกว่า Facebook กำลังเผชิญความท้าทายอย่างมาก ก็เพราะว่ากำลังจะเข้าสู่จุดอิ่มตัวในไม่ช้า เพราะ 50% ของผู้ใช้งานในอเมริกาพร้อมด้วยยุโรปไม่ค่อยได้ใช้ Facebook บ่อยๆ เหมือนแต่ก่อน
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> hitech.sanook.com